วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2558

ประวัติอุบาสก อุบาสิกา

ประวัติอุบาสก-อุบาสิกา



อุบาสก คือ ผู้นั่งใกล้พระรัตนตรัย หมายถึง ผู้ชายที่แสดงตนเป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนา โดยประกาศขอถึง พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง"ประสก"

อุบาสิกา คือ หญิงที่รักษาอุโบสถศีล เรียกสั้นๆ ว่า "สีกา" 

อุบาสก อุบาสิกา
คนใกล้ศาสนา

      พุทธศาสนิกชน มีหลักปฏิบัติที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างตนกับพระพุทธศาสนา ดังนี้
ก.เกื้อกูลพระ โดยปฏิบัติต่อพระสงฆ์ เสมือนเป็นทิศเบื้องต้น ดังนี้
๑.จะทำสิ่งใด ก็ทำด้วยเมตตา
๒.จะพูดสิ่งใด ก็พูดด้วยเมตตา
๓.จะคิดสิ่งใด ก็คิดด้วยเมตตา
๔.ต้อนรับด้วยความเต็มใจ
๕.อุปถัมภ์ด้วยปัจจัย ๔
ข.กระทำบุญ คือ ทำความดีด้วยวิธีการต่างๆ ที่เรียกว่า บุญกิริยาวัตถุ(เรื่องที่จัดว่าเป็นการทำบุญ) ๓ อย่าง คือ
๑.ทานมัย ทำบุญด้วยการปันทรัพย์สิ่งของ
๒.สีลมัย ทำบุญด้วยการรักษาศีล หรือประพฤติดีปฏิบัติชอบ
๓.ภาวนามัย ทำบุญด้วยการเจริญภาวนา คือ ฝึกอบรมจิตใจให้เจริญด้วยสมาธิ และปัญญา
    และควรเจาะจงทำบุญบางอย่างที่เป็นส่วนรายละเอียดเพิ่มขึ้นอีก ๗ ข้อ รวมเป็น ๑o อย่าง คือ
๔.อปจายนมัย ทำบุญด้วยการประพฤติสุภาพ อ่อนน้อม
๕.ไวยาวัจมัย ทำบุญด้วยการช่วยขวนขวายรับใช้ ให้บริการ บำเพ็ญประโยชน์
๖.ปัตติทานมัย ทำบุญด้วยการให้ผู้อื่นมีส่วนร่วมในการทำความดี
๗.ปัตตานุโมทนามัย ทำบุญด้วยการพลอยยินดีในการทำดีของผู้อื่น
๘.ธัมมัสสวนมัย ทำบุญด้วยการฟังธรรม ศึกษาหความรู้ที่ปราศจากโทษ
๙.ธัมมเทสนามัย ทำบุญด้วยการสั่งสอนธรรมให้ความรู้ที่เป็นประโยชน์
o.ทิฏฐุชุกัมม์ ทำบุญด้วยการทำความเห็นให้ถูกต้อง รู้จักมองสิ่งทั้งหลายตามเป็นจริงให้เป็นสัมมาทิฏฐิ
ค.คุ้นพระศาสนา ถ้าจะปฏิบัติให้เคร่งตรัดมากขึ้น ถึงขั้นเป็นอุบาสก อุบาสิกา คือ ผู้ใกล้ชิดศาสนอย่างแท้จริง ควรตั้งตนอยู่ในธรรมทีเป็นไปเพื่อความเจริญของอุบาสก เรียกว่า อุบาสกธรรม ๗ ประการ คือ
๑.ไม่ขาดการเยี่ยมเยือนพบปะพระภิกษุ
๒.ไม่ละเลยการฟังธรรม
๓.ศึกษาอธิศีล คือ ฝึกอบรมตนให้ก้าวหน้าในการปฏิบัติรักษาศีลขั้นสูงขึ้นไป
๔.พรั่งพร้อมด้วยความเลื่อมใส ในพระภิกษุทั้งหลาย ทั้งที่เป็น เถระนวกะ และ ปูนกลาง
๕.ฟังธรรมโดยมิใช่จะตั้งใจคอยจ้องจับผิดหาช่องที่จะติเตียน
๖.ไม่แสวงหาทักขิไณยภายนอกหลักคำสอนนี้ คือ ไม่แสวงหาเขตบุญนอกหลัดพระพุทธศาสนา
๗.กระทำความสนับสนุนในพระศาสนานี้เป็นที่ต้น คือ เอาใจใส่ทำนุบำรุงและช่วยกิจการพระพุทธศาสนา
ง.เป็นอุบาสกอุบาสิกาชั้นนำ อุบาสก อุบาสิกาที่ดี มีคุณสมบัติที่เรียกว่าอุบาสกธรรม ๕ ประการ คือ
๑.มีศรัทธา เชื่อมีเหตุผล มั่นในพระรัตนตรัย
๒.มีศีล อย่างน้อยดำรงตนได้ในศีล ๕
๓.ไม่ถือมงคลตื่นข่าว เชื่อกรรม ไม่เชื่อมงคล มุ่งหวังผลจากการกระทำ มิเชื่อโชคลาง หรือสิ่งที่ตื่นกันไปว่าขลังศักดิ์สิทธิ์
๔.ไม่แสวงหาทักขิไณยนอกหลักคำสอนนี้
๕.เอาใจใส่ทำนุบำรุงและช่วยกิจการพระพุทธศาสนา
จ.หมั่นสำรวจความก้าวหน้า ให้ถือธรรมที่เรียกว่า อารยวัฒิ ๕ ประการเป็นหลักวัดความเจริญในพระศาสนา
๑.ศรัทธา เชื่อถูกหลักพระศาสนา ไม่งมงายไขว้เขว
๒.ศีล ประพฤติและเลี้ยงชีพสุจริต เป็นแบบอย่างได้
๓.สุตะ รู้เข้าใจหลักพระศาสนาพอแก่การปฏิบัติและแนะนำผู้อื่น
๔.จาคะ เผื่อแผ่เสียสละ พร้อมที่จะช่วยเหลือผู้ซึ่งพึงช่วย

๕.ปัญญา รู้เท่าทันโลกและชีวิต ทำจิตใจให้เป็นอิสระได้


 ตัวอย่างอุบาสก

Image

พระเจ้าพิมพิสาร

      เป็นพระราชาแห่งแคว้นมคธ ซึ่งเป็นแคว้นที่ใหญ่และมีอำนาจมากที่สุดแคว้นหนึ่งในสมัยพุทธกาล มีเมืองหลวงชื่อ กรุงราชคฤห์ พระองค์ได้ปกครองแคว้นมคธต่อจากพระบิดา เมื่อพระชนมายุ ๑๕ ปี และครองราชสมบัติอยู่เป็นเวลา ๕๒ ปี พระเจ้าพิมพิสารมีอัครมเหสีพระนามว่า เวเทหิ ซึ่งเป็นพระราชธิดาของพระเจ้ามหาโกศล แห่งแคว้นโกศล มีพระราชโอรสซึ่งประสูติจากพระนางเวเทหิ ๑ พระองค์ มีนามว่า อชาตศัตรู  พระองค์เลื่อมใสในเจ้าลัทธิหลายองค์ในสมัยนั้น แม้กระทั้งชฎิลสามพี่น้อง คือ อุรุเวละกัสสปะ นทีกัสสปะ คยากัสสปะ หลังจากได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระบรมศาสดา ที่สวนตาลหนุ่ม นอกเมืองราชคฤห์แล้ว พระองค์บรรลุพระโสดาบัน จึงกลายเป็นพุทธมามกะที่เข้มแข็ง ประกอบกับแคว้นมคธเป็นรัฐมหาอำนาจในยุคนั้น จึงทำให้พระพุทธศาสนาเผยแผ่ไปอย่างรวดเร็ว

ความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้าพิมพิสารกับพระพุทธเจ้า

๑. ความสัมพันธ์ก่อนกาลตรัสรู้

     พระเจ้าพิมพิสาร ทรงมีความสัมพันธ์กับพระพุทธเจ้ามาตั้งแต่ต้น กล่าวกันว่าพระองค์เป็นอทิฏฐสหาย (สหายที่ไม่เคยเห็นหน้ากัน) กับเจ้าชายสิทธัตถะ สมัยที่ยังทรงเป็นพระกุมาร ด้วยพระเจ้าสุทโธทนะทรงมีความสนิทสนมกับพระบิดาของพระเจ้าพิมพิสาร
     พระเจ้าพิมพิสารได้ทรงพบพระพุทธเจ้าครั้งแรก ในสมัยที่พระมหาบุรุษเสด็จออกบรรพชา เสด็จมาพักที่เชิงเขาปัณฑวะ ตำบลอุรอเวลาเสนานิคม แคว้นมคธ ในสมัยนั้นพระเจ้าพิมพิสารทรงเป็นมหาอุปราชยังมิได้ราชาภิเษก พระองค์ทรงพอพระทัยในบุคคลิกลักษณะของพระมหาบุรุษมาก จึงทูลเชิญให้ครองราชสมบัติครึ่งหนึ่งแห่งแคว้นมคธ แต่พระมหาบุรุษทรงปฏิเสธ และตรัสบอกถึงความตั้งพระทัยของพระองค์ที่จะออกผนวชเพื่อแสวงหาอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ พระเจ้าพิมพิสารทรงแสดงความยินดีด้วย และทูลขอต่อพระมหาบุรุษว่า เมื่อได้ตรัสรู้แล้วขอให้เสด็จกลับมาโปรดพระองค์ด้วย

๒. ความสัมพันธ์หลังกาลตรัสรู้

     เมื่อพระมหาบุรุษทรงบำเพ็ญเพียรได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เสด็จไปโปรดปัญจวัคคีย์ ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี และเสด็จจำพรรษา ณ ที่นั่น เมื่อออกพรรษาแล้วทรงส่งสาวกไปประกาศศาสนา พระองค์เองเสด็จไปยังตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ทรงสั่งสอนพระอุรุเวลกัสสปะพร้อมน้องชายทั้ง ๒ และบริวาร ๑,๐๐๐ คนให้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ แล้วทรงดำริจะเสด็จไปโปรดพระเจ้าพิมพิสารตามที่ทูลขอไว้
    พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมเทศนาโปรดพระเจ้าพิมพิสารและประชาชนทั้งปวง เมื่อจบพระธรรมเทศนา พระเจ้าพิมพิสารทรงบรรลุโสดาปัตติผล เป็นพระโสดาบัน ประกาศพระองค์เป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนา ทรงดำริถึงที่ประทับอันเหมาะสมสำหรับพระพุทธเจ้าและพระสาวก จึงทรงถวายพระราชอุทยานเวฬุวันหรือป่าไผ่แด่พระพุทธเจ้า และพระพุทธองค์ทรงรับไว้ จึงเป็นวัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา 




พระเจ้าปเสนทิโกศล
ผู้ครองนครสาวัตถี แคว้นโกศล

        พระเจ้าปเสนทิโกศล เป็นพระราชโอรสของพระเจ้ามหาโกศล ผู้ครองนครสาวัตถี แคว้นโกศล เมื่อยังเป็นพระกุมารได้เสด็จไปศึกษาศิลปวิทยาในสำนักอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ณ กรุงตักศิลา เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วเสด็จกลับกรุงสาวัตถี ได้แสดงศิลปวิทยาที่ได้ศึกษามาให้หมู่ญาติมีพระชนก พระชนนีเป็นประธานได้ทอดพระเนตร ปเสนทิกุมารได้รับความโปรดปรานจากพระเจ้ามหาโกศลเป็นอย่างยิ่ง โปรดให้อภิเษกในราชสมบัติ เป็นพระเจ้าปเสนทิโกศลแห่งแคว้นโกศล โดยมีเมืองสาวัต

พบพระพุทธเจ้าครั้งแรก

          คราวหนึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศลได้เสด็จไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ วัดพระเชตวัน แล้วทูลถามว่าท่านพระโคดมทรงปฏิญาณได้หรือไม่ว่า ได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณอย่างยอดเยี่ยม  พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า พระองค์ทรงปฏิญาณว่าพระองค์ได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณอย่างยอดเยี่ยมแล้ว พระเจ้าปเสนทิโกศลกราบทูลว่า บรรพชิตเหล่าอื่น เช่น ศาสดาทั้ง ๖ เมื่อพระองค์ตรัสถามว่า ท่านเหล่านั้นปฏิญาณได้หรือไม่ว่าเป็นผู้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ ก็ไม่มีผู้ใดปฏิญาณสักคน ทั้งๆ ที่ท่านเหล่านั้นเป็นผู้ที่มีอายุมากแล้ว เป็นเจ้าลัทธิที่มหาชนยกย่อง ส่วนพระพุทธเจ้ายังทรงหนุ่มอยู่ ผนวชมาก็ไม่สู้นาน ไฉนพระองค์จึงกล้าปฏิญาณเล่า
พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า ไม่ควรดูถูกดูหมิ่นของ ๔ อย่างว่าเป็นของเล็กน้อยคือ
(๑) อย่าดูถูก ดูหมิ่นกษัตริย์ว่ายังทรงพระเยาว์
(๒) อย่าดูถูก ดูหมิ่นงูว่าตัวเล็ก
(๓) อย่าดูถูก ดูหมิ่นไฟว่าเล็กน้อย
(๔) อย่าดูถูก ดูหมิ่นภิกษุว่ายังหนุ่มอยู่
ของ ๔ อย่างนี้ไม่ควรดูถูกดูหมิ่นว่าเล็กน้อยไม่สำคัญ เพราะพระมหากษัตริย์แม้ยังทรงพระเยาว์ แต่ก็มีพระราชอำนาจมาก หากทรงพิโรธขึ้นอาจลงพระราชอาญาอย่างหนักได้ งูพิษแม้ตัวเล็กก็กัดคนให้ตายได้ ไฟเพียงเล็กน้อยก็อาจเผาบ้านเรือนผลาญชีวิตคนได้ พระภิกษุแม้ยังหนุ่ม แต่ก็เป็นผู้มีศีล ผู้ใดประทุษร้ายต่อภิกษุผู้มีศีล ผลแห่งกรรมชั่วย่อมแผดเผาผู้นั้น บุตรภรรยาและทรัพย์สมบัติของผู้นั้นย่อมพินาศ

          เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสจบแล้ว พระเจ้าปเสนทิโกศลได้กราบทูลว่าพระธรรมของพระพุทธเจ้าแจ่มแจ้งนัก และปฏิญาณตนเป็นอุบาสกของถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า พระธรรม และพระภิกษุสงฆ์ ว่าเป็นที่พึ่งที่ระลึกตลอดชีวิตตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
พบพระพุทธเจ้าครั้งสุดท้าย
ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ เมทฬุปนิคม ในแคว้นสักกะของพวกศากยะ พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จประพาสหัวเมืองผ่านมาทางนั้น โปรดให้พักกองทัพไว้ไม่ไกลวัดนัก ตั้งพระราชหฤทัยจะเฝ้าพระพุทธเจ้า ทรงมอบเครื่องราชกกุธภัณฑ์ให้อำมาตย์ผู้ใหญ่ชื่อว่าทีฑการายนะรักษาไว้ เสด็จเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าในพระคันธกุฎีกราบทูลถึงความที่พระองค์มีความเคารพนับถือพระพุทธเจ้าด้วยเหตุต่างๆ เป็นอันมาก ในตอนสุดท้ายกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นกษัตริย์ หม่อมฉันก็เป็นกษัตริย์ พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นชาวโกศล หม่อมฉันก็เป็นชาวโกศล พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระชนมายุ ๘๐ ปี หม่อมฉันก็มีอายุ ๘๐ ปีเหมือนกัน...

          ในระหว่างที่พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าในพระคันธกุฎีแต่เฉพาะพระองค์ ทีฆการายนะอำมาตย์เห็นเป็นโอกาสเหมาะ จึงนำเครื่องราชกกุธภัณฑ์กลับไปกรุงสาวัตถี สถาปนาวิฑูฑภะซึ่งดำรงตำแหน่งเสนาบดี (แม่ทัพ) ขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินแทน เหลือไว้แต่ม้าตัวหนึ่งกับนางสนมคนหนึ่ง

          เมื่อพระเจ้าปเสนทิโกศลทูลลาเสด็จกลับออกมาจากพระคันธกุฎี ไม่พบทีฆการายนะอำมาตย์ ซึ่งพระองค์มอบให้รักษาเครื่องราชกกุธภัณฑ์ไว้จึงเสด็จไปยังค่ายที่พักพล พบเพียงม้าตัวหนึ่งกับนางสนมคนหนึ่ง สอบถามได้ความว่าทีฆการายนะอำมาตย์กับวิฑูฑภะเสนาบดียกกองทัพกลับกรุงสาวัตถีแล้วพร้อมทั้งเครื่องราชกกุธภัณฑ์ก็ทรงแน่พระทัยว่าเจ้าชายวิฑูฑภะเป็นขบถแน่ จึงเสด็จไปยังกรุงราชคฤห์ เพื่อขอกำลังทหารจากพระเจ้าอชาตศัตรูราชาแห่งแคว้นมคธผู้เป็นพระราชนัดดาไปกู้ราชบัลลังก์คืน แต่เนื่องด้วยทรงพระชราและทรงเหน็ดเหนื่อยในการเดินทาง จึงสิ้นพระชนม์อยู่นอกประตูเมืองราชคฤห์ในราตรีที่เสด็จไปถึงนั่นเอง นางสนมที่โดยเสด็จก็ร้องไห้คร่ำครวญความทราบถึงพระเจ้าอชาตศัตรู จึงโปรดให้จัดการพระบรมศพให้เสร็จสิ้นไปด้วยดี


คุณธรรมที่ควรถือเป็นแบบอย่าง

๑. ทรงมั่นคงในพระรัตนตรัย หลังจากหันมานับถือพระพุทธศาสนาแล้ว พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงมั่นคงในพระรัตนตรัยมาก

๒. ทรงรักษาความมั่นคงของพระพุทธศาสนาอย่างดียิ่ง มีหลายครั้งที่พระพุทธเจ้าและพระพุทธศาสนาถูกลัทธิตรงข้ามผู้ไม่ปรารถนาดีใส่ร้ายป้ายสีให้มัวหมองเสื่อมเสีย
๓. ทรงมีพระทัยกว้างยอมรับความคิดเห็นของคนอื่น พระเจ้าแผ่นดินที่ปกครองด้วยระบบราชาธิปไตยนั้น มักไม่ค่อยมีใครกล้าตักเตือน หรือมักไม่ค่อยฟังความคิดเห็นของคนอื่น แต่พระเจ้าปเสนทิโกศลไม่ทรงมีทิฐิมานะเช่นนั้น


๔. ทรงยอมรับความคิดเห็นและพร้อมที่จะแก้ไข


Image


อุคคตคฤหบดี ชาวหัตถิคาม แคว้นวัชชี 

   เอตทัคคะในทางผู้อุปัฏฐากภิกษุสงฆ์ 

        คฤหบดีคนหนึ่ง เป็นชาวหัตถิคาม แคว้นวัชชี ท่านผู้นี้พระพุทธองค์ทรงยกย่องว่าเป็นผู้ยอดเยี่ยมว่าใครหมดในด้านการบำรุงสงฆ์ ท่านได้รับตำแหน่งเศรษฐีแทนบิดาในเมื่อบิดาท่านสิ้นชีวิตไปแล้ว

         ครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าได้เสด็จจาริกไปยังหมู่บ้าน หัตถิคามประทับอยู่ที่อุทยานนาควัน เวลานั้นท่านอุคคตเศรษฐีได้ดื่มสุราเมามายเป็นเวลา ๗ วัน ในวันสุดท้าย ได้พาพวกเต้นรำออกไปยังอุทยานนาควัน มีการบำรุงบำเรอและเฮฮาร่าเริงกันอย่างเอกเกริก แต่เมื่อเข้าไปพบพระพุทธองค์แล้ว ก็เกิดความละอาย ความเมามายของท่านจึงหายไป ท่านได้ถวายบังคมพระพุทธองค์แล้วนั่งอยู่ในที่สมควรข้างหนึ่ง พระพุทธองค์จึงทรงแสดงธรรมโปรด ท่านได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระพุทธองค์แล้ว ได้สำเร็จเป็นพระอนาคามี

           ตั้งแต่นั้นมา ท่านจึงงดการร่าเริงต่างๆ เสีย แล้วอนุญาตให้พวกเต้นรำไปอยู่ที่อื่นตามใจชอบ ส่วนตัวท่านเองได้อุทิศชีวิตถวายทานแก่พระสงฆ์ด้วยความเลื่อมใสยิ่ง คืนหนึ่งเทวดาตนหนึ่งได้เข้าไปบอกท่านว่า ภิกษุรูปโน้นได้บรรลุวิชาชา ๓ รูป นั้นได้บรรลุอภิญญา ๖ รูปนั้นเป็นผู้มีศีล รูปนี้เป็นผู้ทุศีล แม้จะทราบความจริงเช่นนั้น ท่านก็มิได้คำนึงถึงข้อเสียหายของภิกษุบางรูป ได้แต่พูดสรรเสริญในแง่ดีทั้งนั้น แม้เวลาถวายทานก็ถวายด้วยจิตใจเป็นกลาง สม่ำเสมอ ไม่มีลำเอียง หรือเลือกหน้าถวาย ทั้งถวายด้วยความยินดีเท่าเทียมกัน

ต่อมา พระพุทธเจ้าตรัสบอกพระสงฆ์ว่า ท่านอุคคตคฤหบดีมีคุณธรรมที่แปลก น่าอัศจรรย์ถึง ๘ อย่าง พอถึงตอนเช้าภิกษุรูปหนึ่งซึ่งได้ฟังพระพุทธดำรัสนั้น ได้ไปบิณฑบาตที่หมู่บ้านหัตถิคามแล้วเข้าไปหาท่านอุคคตคฤหบดี ได้ถามท่านคฤหบดีเกี่ยวกับคุณธรรมที่แปลกน่าอัศจรรย์ ๘ อย่างนั้น ท่านคฤหบดีตอบว่า ท่านเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าคุณธรรม ๘ อย่าง ที่พระพุทธองค์ตรัสถึงนั้นได้แก่อะไรบ้าง แต่ท่านคฤหบดีได้อธิบายถึงคุณธรรม ๘ อย่างที่เกิดในใจท่านให้ภิกษุรูปนั้นฟังโดยลำดับว่า

(๑) ขณะที่ท่านกำลังเมาสุราอยู่ที่อุทยานนาควันนั้น เมื่อเห็นพระพุทธองค์เสด็จมา ความเมาสุราของท่านก็ได้สูญสิ้นไป นี้เป็นคุณธรรมข้อแรกที่เกิดขึ้นในใจท่าน

(๒) เมื่อท่านมีใจเลื่อมใสได้เข้าไปเฝ้าพระพุทธองค์ ได้ฟังอนุปุพพิกถา ๕ คือ ทานกถา สีลกถา สัคคกถา กามาทีนวกถา และเนกขัมมกถา ซึ่งพระพุทธองค์ทรงแสดงโปรด แล้วมีจิตปลอดโปร่ง อ่อนโยน ปราศจากนีวรณธรรม เบิกบาน และผ่องใสยิ่ง เหมือนผ้าที่ขาวสะอาดปราศจากจุดด่างดำ ควรรับน้ำย้อมได้ฉะนั้น พระพุทธองค์ทรงทราบภาวะจิตของท่าน แล้วได้ทรงแสดงสามุกกังสิกธรรมเทศนา คือ อริยสัจ ๔ อันได้แก่ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค โปรดท่าน ขณะที่นั่งอยู่บนอาสนะนั่นเองท่านก็ได้ดวงตาเห็นธรรม คือมีปัญญาเห็นประจักษ์ว่า สิ่งใดที่เกิดมาแล้วสิ่งนั้นทั้งหมดก็จะต้องดับ จึงชื่อว่าท่านได้เห็นธรรม ได้บรรลุธรรม รู้ธรรม หยั่งถึงธรรม หมดความสงสัย ไม่มีความเคลือบแคลง เป็นผู้มีความแกล้วกล้า ไม่ต้องเชื่อผู้อื่นในเรื่องสัตถุศาสน์ ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะสมาทานสิกขาบทมีพรหมจรรย์เป็นที่ ๕ นี้เป็นคุณธรรมที่แปลก น่าอัศจรรย์ข้อที่สอง

(๓) โดยที่ท่านมีภริยา ๔ คนท่านจึงแจ้งให้ภริยาทราบ ท่านสมาทานสิกขาบทแล้ว ผู้ใดปรารถนาจะใช้โภคทรัพย์ จะทำบุญทำทาน หรือจะกลับไปอยู่บ้านญาติของตน ก็เชิญตามใจชอบ หรือถ้าปรารถนาชายใดก็จะยกให้ชายนั้นตามต้องการ ภริยาหลวงจึงขอให้ท่านยกให้ชายที่ตนชอบคนหนึ่ง ท่านก็ยินดีจัดการให้ตามความประสงค์ ขณะที่บริจาคภริยานั้น ท่านก็มิได้มีจิตคิดฟุ้งซ่าน นี้เป็นคุณธรรมที่แปลก น่าอัศจรรย์ข้อที่สาม

(๔) ท่านมีโภคสมบัติมากมายแต่ท่านมิได้ตระหนี่ ท่านได้แจกจ่ายแก่ท่านผู้มีศีล มีกัลยาณธรรมโดยทั่วหน้ากัน นี้เป็นคุณธรรมที่แปลก น่าอัศจรรย์ข้อที่สี่

(๕) ท่านเข้าไปหาภิกษุรูปใด ก็เข้าไปหาด้วยความเคารพ เมื่อฟังธรรมก็ฟังด้วยความเคารพเมื่อภิกษุไม่แสดงธรรมให้ฟัง ท่านก็แสดงให้ภิกษุฟัง นี้เป็นคุณธรรมที่แปลก น่าอัศจรรย์ข้อที่ห้า

(๖) เมื่อท่านนิมนต์พระสงฆ์แล้ว แม้จะมีเทวดามาบอกท่านว่า ภิกษุรูปนั้นมีคุณธรรมอย่างนั้น รูปนี้มีคุณธรรมอย่างนี้ รูปนี้มีศีล รูปโน้น ไม่มีศีล ท่านก็มีใจสม่ำเสมอ ได้ถวายทานแก่ภิกษุเหล่านั้นโดยเท่าเทียมกัน นี้เป็นคุณธรรมที่แปลก น่าอัศจรรย์ข้อที่หก

(๗) แม้จะมีเทวดาเข้าไปหาท่านและได้สนทนาธรรมกับท่านเสมอ ท่านก็มิได้เกิดความลำพองใจในเพราะเหตุนั้น นี้เป็นคุณธรรมที่แปลก น่าอัศจรรย์ข้อที่เจ็ด

(๘) หากท่านจะสิ้นชีวิตก่อนพระพุทธเจ้าท่านก็มิได้อัศจรรย์ใจอะไรเลย ที่พระพุทธองค์ทรงพยากรณ์ว่า ท่านจะเป็นผู้ไม่มีกิเลสเครื่องเกี่ยวพัน อันจะทำให้เวียนมาเกิดในโลกนี้อีก นี้เป็นคุณธรรมที่แปลก น่าอัศจรรย์ข้อที่แปด

ภิกษุรูปนั้น เมื่อได้สนทนาและได้ฟังคำอธิบายเช่นนั้นแล้วได้เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า กราบทูลถึงคำอธิบายที่ตนได้ฟังมานั้น พระพุทธองค์ได้ตรัสรับรองว่า ธรรมที่ท่านคหบดีแสดงนั้น เป็นธรรมที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ในพระทัย ในเวลาที่ทรงสรรเสริญท่านคฤหบดีแล้ว
ในสังยุตตนิกายเล่าว่า ท่านอุคคตคฤหบดีได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าที่หัตถิคาม ได้ทูลถามพระพุทธองค์ว่า อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัย มิให้สัตว์บางพวกปรินิพพาน ให้บางพวกปรินิพพานในปัจจุบันชาตินี้พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า ผู้มีอุปทานย่อมไม่ปรินิพพานในปัจจุบันชาตินี้ ส่วนผู้ไม่มีอุปทานย่อมปรินิพพานในปัจจุบันชาตินี้

ในสมัยพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าปทุมุตตระ ท่านอุคคตคฤหบดีก็เคยเป็นคฤหบดีเช่นกัน วันหนึ่งท่านได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระปทุมุตตรพุทธเจ้าได้เห็นพระพุทธองค์ทรงประกาศยกย่องอุบาสกคนหนึ่งว่า เป็นผู้ยอดเยี่ยมกว่าใครหมดในด้านบำรุงสงฆ์ (สังฆุปัฏฐาก) ท่านมีความเลื่อมใสได้ปรารถนาจะได้รับตำแหน่งเช่นนั้นในอนาคต จึงได้บำเพ็ญบุญกุศลจนตลอดชีวิต และได้รับตำแหน่งนั้นสมปรารถนา ในพุทธุปาทกาลนี้



Image


พ่อค้าชื่อตปุสสะและภัลลิกะ 

เอตทัคคะในทางผู้ถึงสรณะก่อน 


      ตปุสสะเป็นพ่อค้าที่มาจากอุกกลชนบทคู่กับ ภัลลิกะ ซึ่งเป็นน้องชาย ท่านเป็นบุตรของกฏุมพี ในอสิตัญชนนคร 

     ครั้นล่วง ๗ วัน พระผู้มีพระภาคทรงออกจากสมาธินั้น แล้วเสด็จจากควงไม้มุจจลินท์ เข้าไปยังต้นไม้ราชายตนะ แล้วประทับนั่งด้วยบัลลังก์เดียว เสวยวิมุตติสุข ณ ควงไม้ราชายตนะ ตลอด ๗ วัน ในสัปดาห์ที่ ๘ ประทับนั่งใต้ต้นเกด สมัยนั้น พาณิชทั้งสองเดินทางจากอุกกลชนบท จะไปยังมัชฌิมประเทศ ด้วยเกวียน ๕๐๐ เล่ม เทวดาผู้เป็นญาติสาโลหิตของตนในชาติก่อน ซึ่งเคยเป็นมารดาของพาณิชทั้งสองได้เกิดเป็นเทวดาอยู่ในที่แถวนั้นในอัตภาพติดต่อกัน ๕ อัตภาพ

นางคิดว่า บัดนี้พระพุทธเจ้าควรที่จะได้รับพระกระยาหาร เพราะต่อแต่นี้ไปพระองค์ปราศจากพระกระยาหารจะไม่สามารถทรงพระชนม์ชีพอยู่ได้ 

อนึ่ง บุตรของเราทั้งสองนี้ก็ไปตามสถานที่นี้ วันนี้บุตรทั้งสองนั้นควรได้ถวายบิณฑบาตแด่พระพุทธเจ้าดังนี้แล้ว จึงได้ทำให้โคที่เทียมเกวียนทั้ง ๕๐๐ เล่ม หยุดไม่เดินไป พวกเขาต่างพูดว่า นี่อะไรกัน อะไรกันนี้ จึงพากันตรวจดูนิมิตต่างๆ ทีนั้น เทพยดานั้นทราบว่าเขาทั้งสองลำบาก จึงเข้าสิงในร่างของบุรุษคนหนึ่งแล้วกล่าวว่า เพราะเหตุไร พวกท่านจึงต้องลำบาก ไม่มียักษ์อื่นกลั่นแกล้ง ไม่มีภูตผีกลั่นแกล้ง ไม่มีนาคกลั่นแกล้งพวกท่านดอก แต่เราเป็นมารดาของพวกท่านในอัตภาพ (ชาติ) ที่ ๕ บังเกิดเป็นภุมเทวดาอยู่ในที่นี้ พระผู้มีพระภาคพระองค์นี้แรกตรัสรู้ ประทับอยู่ ณ ควงไม้ราชายตนะ ท่านทั้งสองจงไปบูชาพระผู้มีพระภาคนั้น ด้วยสัตตุผงและสัตตุก้อนการบูชาของท่านทั้งสองนั้น จักเป็นไปเพื่อประโยชน์และความสุขแก่ท่านทั้งหลายตลอดกาลนาน 


ขณะนั้น พระผู้มีพระภาคได้ทรงปริวิตกว่า 

พระตถาคตทั้งหลาย ไม่รับวัตถุด้วยมือ เราจะพึงรับสัตตุผง และสัตตุก้อนด้วยอะไรหนอ 

ได้ทราบว่า บาตรใดของพระองค์ได้มีอยู่ในเวลาทรงประกอบความเพียร แต่บาตรนั้นได้หายไปเมื่อนางสุชาดามาถวายข้าวปายาส 

เพราะเหตุนั้น พระองค์จึงได้ทรงมีพระรำพึงนี้ว่า 

บาตรของเราไม่มี ก็แลพระตถาคตทั้งหลายองค์ก่อนๆ ไม่ทรงรับด้วยพระหัตถ์เลย เราจะพึงรับข้าวสัตตุผงและข้าวสัตตุก้อนปรุงน้ำผึ้งด้วยอะไรเล่าหนอ ? 

ลำดับนั้น ท้าวมหาราชทั้ง ๔ องค์ทรงทราบพระปริวิตกแห่งจิตของพระผู้มีพระภาค ด้วยใจของตนแล้ว เสด็จมาจาก ๔ ทิศ ทรงนำบาตรที่สำเร็จด้วยศิลา ๔ ใบ เข้าไปถวายพระผู้มีพระภาค กราบทูลว่า 

ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงรับสัตตุผงและสัตตุก้อนด้วยบาตรนี้ พระพุทธเจ้าข้า 

พระผู้มีพระภาคทรงใช้บาตรสำเร็จด้วยศิลาอันใหม่เอี่ยมมีพรรณ (สี) คล้ายถั่วเขียว รับสัตตุผงและสัตตุก้อน แล้วเสวย 

(ก็ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ได้น้อมถวายบาตรแล้วด้วยแก้วอินทนิล มีพรรณเขียวเลื่อมประภัสสร ดังแสงปีกแมลงทับ ในตำหรับไสยศาสตร์ชื่อว่าแก้วมรกตก่อน พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงรับบาตรเหล่านั้น) 

สองพาณิชได้แสดงตนเป็นอุบาสก ถึงพระพุทธเจ้ากับพระธรรมเป็นสรณะ นับเป็นปฐมอุบาสกผู้ถึงสรณะ ๒ ที่เรียกว่า เทฺววาจิก (ทเววาจิกะ) 

สองพาณิชนั้นครั้นประกาศความเป็นอุบาสกอย่างนั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า 

ทีนี้ ตั้งแต่วันนี้ไป ข้าพระองค์พึงทำการอภิวาทและยืนรับใครเล่าพระเจ้าข้า ? พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงลูบพระเศียร 

พระเกศาติดพระหัตถ์ ๘ เส้น มีสีดุจแก้วอินทนิลแลปีกแมลงภู่ได้ประทานพระเกศาเหล่านั้นแก่เขาทั้งสอง ด้วยตรัสว่า 

ท่านจงรักษาผมเหล่านี้ไว้ สองพาณิชนั้น ได้พระเกศาธาตุราวกะได้อภิเษกด้วยอมตธรรมใส่ในผอบทองคำ รื่นเริงยินดีถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วอัญเชิญพระเกศธาตุไปยังเมืองของตน ให้บรรจุพระเกศธาตุของพระพุทธเจ้าที่ยังมีพระชนม์ไว้ที่ประตูอสิตัญชนนคร 

ในวันอุโบสถก็มีรัศมีสีนิลเปล่งออกมาจากพระเจดีย์ เรื่องนี้เกิดขึ้นโดยทำนองนี้ 

ก็ในกาลต่อมา พระศาสดาประทับนั่งในพระเชตวัน เมื่อทรงสถาปนาอุบาสกทั้งหลายไว้ในตำแหน่งต่างๆ ตามลำดับ จึงทรงสถาปนาชนทั้งสองนี้ไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นเลิศกว่าอุบาสกทั้งหลาย ผู้ถึงสรณะก่อนแล 

ก็นายพาณิชสองคนนั้น ได้เป็นอุบาสกกล่าวอ้าง ๒ รัตนะ เป็นชุดแรกในพระพุทธศาสนา 

ตัวอย่างอุบาสิกา 



นางสุปปิยา
เอตทัคคะในทางผู้อุปัฏฐากภิกษุไข้ 



            นางสุปปิยาอุบาสิกาผู้ได้รับการแต่งตั้งจากพระบรมศาสดาให้เป็นยอดของอุบาสิกาทั้งหลายผู้อุปัฏฐากภิกษุไข้ ก็โดยเหตุ ๒ ประการ คือโดยเป็นผู้ยิ่งด้วยคุณ เพราะท่านแสดงให้ผู้อื่นเห็นเป็นอย่างชัดเจนในคุณข้อนี้ของท่าน อุบาสิกานั้น ปกติก็จะไปสู่อาราม เที่ยวเยี่ยมวิหารและบริเวณทั่วทุกแห่ง เพื่อดูว่ามีภิกษุรูปไรอาพาธ หรือสอบถามภิกษุรูปที่อาพาธถึงความต้องการสิ่งใดเป็นพิเศษหรือไม่ เพื่อที่นางจะได้จัดหามาถวาย ไม่เพียงเนื่องจากเหตุข้อนี้เท่านั้น แต่ยังเป็นการแต่งตั้งโดยเหตุที่ท่านได้ตั้งความปรารถนาไว้ตลอดแสนกัป ตามเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับดังต่อไปนี้ 
๐ กำเนิดเป็นนางสุปปิยาในสมัยพระสมณโคดมพุทธเจ้า 
ในพุทธุปบาทกาลนี้บังเกิดในเรือนสกุล กรุงพาราณสี บิดามารดาตั้งชื่อนางว่า สุปปิยา ต่อมาพระศาสดามีภิกษุสงฆ์เป็นบริวาร ได้เสด็จไปกรุงพาราณสี 
เมื่อนางสุปปิยาทราบข่าวการเสด็จมาของพระบรมศาสดาจึงได้เดินทางไปเข้าเฝ้าเพื่อฟังธรรม และด้วยการเฝ้าครั้งแรกเท่านั้น นางฟังธรรมแล้ว ก็ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล

๐ ทรงติเตียน 

พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ ไฉนเธอจึงไม่ได้พิจารณา แล้วฉันเนื้อเล่า เธอฉันเนื้อมนุษย์แล้ว การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า 

๐ พระพุทธบัญญัติห้ามฉันเนื้อมนุษย์ 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาคนที่มีศรัทธาเลื่อมใสมีอยู่ เขาสละเนื้อของเขาถวายก็ได้ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อมนุษย์ รูปใดฉัน ต้องอาบัติถุลลัจจัย อนึ่ง ภิกษุยังมิได้พิจารณา ไม่พึงฉันเนื้อ รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ 
๐ สัตว์ที่ภิกษุไม่ควรฉัน ๔ ประเภท
๑. สัตว์ที่เห็นเขาฆ่า
๒. สัตว์ที่ได้ยินเขาฆ่า
๓. สัตว์ที่เขาจงใจฆ่าให้ฉัน
๔. สัตว์ที่เลี้ยงไว้เอง 
๐ ทรงแต่งตั้งอุบาสิกาเป็นเอตทัคคะผู้อุปัฏฐากภิกษุไข้
ภายหลัง พระศาสดาประทับนั่ง ณ พระเชตวันวิหาร เมื่อทรงสถาปนา พวกอุบาสิกาไว้ในตำแหน่งต่างๆ ตามลำดับ จึงทรงสถาปนานางสุปปิยา อุบาสิกาไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นเลิศกว่าพวกอุบาสิกา ผู้อุปัฏฐากภิกษุไข้ แล




 

พระนางโคปาลมาตาเทวี


๐ ผู้ที่รับผลบุญเห็นทันตา 



         ในครั้งพระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่โน้น มีนิคมหนึ่งชื่อว่านาลินิคม” ที่นิคมนั้นมีธิดาเศรษฐีอยู่ ๒ คน คนหนึ่งเมื่อมารดาบิดาล่วงลับไปแล้วก็ยากจน จึงได้อาศัยอยู่กับพี่เลี้ยง แต่มีร่างกายสวยดี มีผมยาวกว่าสตรีอื่น 
อีกคนหนึ่งเป็นคนยังมั่งมีอยู่ แต่เป็นคนมีผมน้อย ได้เคยให้สาวใช้ไปขอชื่อผมของธิดาเศรษฐีนั้นเป็นราคาตั้งร้อยตั้งพันก็ไม่อาจซื้อได้ 
ในวันนั้น ธิดาเศรษฐีผู้มีผมยาวได้เห็น พระมหากัจจายนะ เดินมาเที่ยวบิณฑบาตกับพระภิกษุ ๗ องค์ แต่ก็ไม่ได้อะไรในนิคมนั้น จึงให้พี่เลี้ยงไปนิมนต์พระเถระเหล่านั้น ให้ขึ้นมานั่งบนเรือน แล้วธิดาเศรษฐีก็เข้าห้องให้พี่เลี้ยงตัดผมของตน แล้วบอกว่า 
พี่จงเอาผมเหล่านี้ไปให้แก่ธิดาเศรษฐี ซึ่งไม่มีผมชื่อโน้น เขาให้สิ่งใดมาก็จงนำสิ่งนั้นมา เราจะได้ถวายบิณฑบาตแก่พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายด้วยสิ่งนั้น” แล้วก็ใช้ให้พี่เลี้ยงไป 
พี่เลี้ยงได้ไปทำอย่างนั้นแล้วได้เงิน ๘ กหาปณะ (๘ ตำลึง) มาให้แก่ธิดาเศรษฐีนั้นก็ให้ไปชื้ออาหารมา ๘ สำหรับๆ ละ ๑ ตำลึง แล้วถวายแก่พระเถระทั้งหลาย ส่วนตนเองหลบลี้อยู่ในห้อง
พระมหากัจจายนะรู้เหตุการณ์นั้นแล้วจึงเรียกให้ออกมา ธิดาเศรษฐีนั้นก็ได้ออกมาด้วยความเคารพพระเถระเจ้า ไหว้พระเถระทั้งหลายแล้วก็เกิดศรัทธาแรงกล้า ธรรมดาทานที่บุคคลถวายในเนื้อนาที่ดีย่อมให้ผลในปัจจุบัน เพราะฉะนั้น ผมของธิดาเศรษฐีนั้น จึงกลับเป็นปกติขึ้นพร้อมกับเวลาไหว้พระเถระเจ้า พระเถระรับบิณฑบาตแล้ว ก็พากันเลื่อนลอยขึ้นสู่เวหาต่อหน้าธิดาเศรษฐีนั้นแล้วไปลงที่กาญจนอุทยาน จึงได้ฉันในที่นั้น นายอุทยานได้เห็นพระเถระนั้น จึงไปกราบทูลพระราชา พระราชาจัณฑปัชโชต ได้เสด็จไปหาที่พระราชอุทยานพอดีพระเถระฉันเสร็จแล้ว พระบาทท้าวเธอก็กราบไหว้แล้วตรัสถามว่า วันนี้ท่านทั้งหลายได้อาหารที่ไหน พอได้ทรงสดับเรื่องดังกล่าวนี้แล้ว จึงเสด็จกลับพระราชนิเวศน์แล้วโปรดให้ไปรับธิดาเศรษฐีนั้น มาตั้งให้เป็นอัครมเหสีในวันนั้น 
ต่อมาภายหลังเมื่อพระอัครมเหสีนั้นได้พระราชโอรสแล้ว จึงทรงตั้งชื่อว่าโคบาลกุมาร” เหมือนกับชื่อมหาเศรษฐีผู้เป็นตา จึงปรากฎพระนามว่าพระนางโคบาลมาตาเทวี” ตามชื่อแห่งพระราชโอรส 
พระนางมีความเลื่อมใสต่อพระเถระยิ่งนัก จึงโปรดสร้างวัดถวายพระเถระไว้ในกาญจนอุทยานนั้น ดังนี้




 


มันตานีพราหมณี มารดาขององคุลิมาล



         มันตานีพราหมณี เกิดในวรรณะพราหมณ์ เป็นภรรยาของปุโรหิตในราชสำนักพระเจ้าปเสนทิโกศล กษัตริย์เมืองสาวัตถี แคว้นโกศล นางตั้งครรภ์แก่จวนคลอด ผู้เป็นสามีก็เข้าเฝ้าพระเจ้าปเสนทิโกศล ตามปกติที่เคยปฏิบัติมา
บังเอิญวันที่นางจะคลอดลูกนั้น เกิดวิปริตอาเพศ ห้วงเวหามืดครึ้ม ฟ้าแลบแปลบปลาบ ดังหนึ่งฝนจะตกหนัก แต่ก็ไม่ตก อาวุธ เช่น หอก ดาบ แหลน หลาว ในพระคลังแสง เกิดแสงโชติช่วงโชตนาการดังต้องไฟ สร้างความตื่นตระหนกไปทั่วพระราชวัง
       พระเจ้าปเสนทิโกศล ตรัสถามปุโรหิตว่า จะเป็นลางร้ายอะไรหรือไม่
ปุโรหิตแหงนดูท้องฟ้า เห็นดาวโจรลอยเด่นอยู่กลางอากาศ จึงกราบทูลว่า เด็กที่เกิดในขณะนี้คนหนึ่ง จะกลายเป็นมหาโจรลือชื่อ เป็นที่หวาดกลัวของประชาชนทั่วไปพระเจ้าปเสนทิโกศลตรัสถามว่า โจรที่ว่านี้เป็นโจรธรรมดา หรือว่าเป็นโจรปล้นราชสมบัติ ปุโรหิตกราบทูลว่า เป็นโจรธรรมดา เมื่อทรงทราบว่าเป็นโจรธรรมดา ก็มิได้ทรงใส่พระทัยแต่อย่างใดปุโรหิตฉุกใจคิดอะไรบางอย่างขึ้นมา จึงรีบกราบบังคมทูลพระเจ้าอยู่หัวกลับมายังคฤหาสน์ของตน พอก้าวขึ้นเรือนก็ได้รับรายงานทันทีว่า นางพราหมณี ภรรยาได้ให้กำเนิดบุตรชายพอดี คือ ตรงกับฤกษ์ดาวโจรที่ว่านี้พอดิบพอดีเลยทีเดียว
        พราหมณ์ปุโรหิตรีบกลับไปกราบทูลพระเจ้าอยู่หัวว่า เด็กที่ว่านั้นคือบุตรชายของตนเอง ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต “กำจัด” เสียตั้งแต่ยังเด็ก ก่อนที่จะเติบโตกลายเป็นขุนโจรชื่อดัง
ในหลวงรับสั่งว่า เมื่อเขาเป็นโจรธรรมดา ไม่เป็นภัยต่อราชสมบัติ ก็ปล่อยไปเถอะ เพราะเหตุนี้แล เด็กน้อยจึงรอดมาได้จนเติบโต
ปุโรหิตผู้เป็นพ่อเชี่ยวชาญในโหราศาสตร์ จึงพยายามหาวิธีแก้ดวง เพื่อมิให้บุตรชายเป็นไปตามคำพยากรณ์ โดยตั้งชื่อแก้เคล็ดว่า อหิงสกะ แปลว่า “ผู้ไม่เบียดเบียน” หวังว่าชื่อที่มีความหมายในทางดี จะช่วยให้วิถีชีวิตลูกดำเนินไปในทางถูกต้องได้ ซึ่งก็ทำท่าจะเป็นดังหวังอหิงสกะเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย มีความประพฤติเรียบร้อย ใฝ่การศึกษาเป็นอย่างยิ่ง พ่อจึงส่งไปเรียนในสำนักอาจารย์ทิศาปาโมกข์ เมืองตักศิลา ซึ่งถ้าเป็นสมัยนี้ก็เรียกว่า ส่งไปเรียนมหาวิทยาลัยดังในต่างประเทศ ว่าอย่างนั้นเถอะอหิงสกะก็เรียนเก่ง มีความประพฤติเรียบร้อย เป็นคนโปรดของอาจารย์ จนกระทั่งบรรดาศิษย์ที่เรียนไม่เอาไหน ถูกอาจารย์ตำหนิอยู่เสมอ เกิดความอิจฉาริษยา พากันยุยงให้อาจารย์เกลียดชังศิษย์รักจนสำเร็จ
        อย่างว่าแหละครับ “น้ำหยดลงหินทุกวัน หินมันยังกร่อน” ดังเพลงเขาว่า หัวใจอ่อนๆ ของอาจารย์ทิศาปาโมกข์ผู้ถูกเป่าหูแทบทุกเช้าเย็น จะไปเหลืออะไร ในที่สุดอาจารย์ก็เชื่อว่า อหิงสกะคิดคดทรยศตน จึงหาทางกำจัด โดยอ้างว่าจะถ่ายทอดวิชาลี้ลับให้ ให้ศิษย์ไปเอานิ้วคนมา ๑,๐๐๐ นิ้ว จะประกอบพิธีประสิทธิ์ประสาทเคล็ดวิชาให้เด็กหนุ่มซึ่งก็อยากจะได้เคล็ดวิชา กอปรกับที่อาจารย์ใช้วาทศิลป์เกลี้ยกล่อม จึงรับปากออกไปฆ่าคนตัดเอานิ้วใหม่ๆ ก็คงยากมาก แต่พอฆ่าได้คนสองคนจิตใจก็ “คุ้น” กับการกระทำ จนกลายเป็นความเคยชินในที่สุดก็ฆ่าแล้วตัดเอานิ้ว นัยว่าเอาแต่นิ้วหัวแม่มือหรือนิ้วโป้ง ได้หลายนิ้วก็เอามาเสียบเป็นพวงห้อยคอเพื่อกันหาย
ฆ่าได้กี่คนๆ ก็ยังไม่ได้ครบ ๑,๐๐๐ นิ้วเสียที เพราะที่ได้ไว้บ้างแล้วบางนิ้วก็เน่าหลุดไป  ผู้คนได้ยินว่ามีโจรองคุลิมาล (โจรห้อยพวงนิ้วมือ) เกิดขึ้น ก็พากันหวาดผวา ไม่กล้าเดินทางผ่านดงอันเป็นที่อยู่อาศัยของมหาโจร ทำให้ขุนโจรชื่อดังหากินลำบากยิ่งขึ้น นิ้วที่ได้ไว้ก็เน่าหลุดไปทีละนิ้วสองนิ้ว
หนทางจะได้ประสิทธิ์ประสาทเคล็ดวิชา ก็ยิ่งดูห่างไกลยิ่งขึ้น
กล่าวถึงนางพราหมณีผู้เป็นแม่ของอหิงสกะ ก็เฝ้าทะนุถนอมเลี้ยงดูลูกด้วยความรัก แม้ว่าตอนแรกพ่อจะบอกว่า ลูกคนนี้เติบโตมาจะเป็นโจร นางก็มิได้คลายความรักที่มีต่อลูกลงแม้แต่น้อย ตรงข้ามกลับเฝ้าทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูลูกอย่างดีเมื่อลูกถูกส่งไปศึกษายังมหาวิทยาลัยตักศิลา ก็คอยสดับฟังข่าวคราวลูกเสมอ แม้ในช่วงหลังจะได้ยินข่าวร้ายว่าลูกกลายเป็นโจรชื่อดัง ก็ยิ่งสงสารลูก ไม่เป็นอันกินอันนอน เฝ้าครุ่นคิดถึงแต่ลูกชายยิ่งในช่วงหลังๆ ได้ข่าวว่า พระเจ้าอยู่หัวถึงกับจะยกกองทัพน้อยๆ ไปปราบลูกชาย นางก็ยิ่งกังวลหนัก เพราะความรักลูก กลัวลูกจะถูกฆ่าตายนางจึงตัดสินใจรีบเดินทางมุ่งตรงไปยังดงที่ลูกชายอาศัยอยู่ เพื่อแจ้งข่าวให้ลูกทราบ จะได้ระวังตัว เพราะความรักลูกโดยแท้ นางมิได้คิดถึงตัวเองเลย


        สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบด้วยพระญาณแล้วว่า เมื่อถึงเวลานี้ องคุลิมาลมีจิตฟั่นเฟือนแล้ว จำใครไม่ได้ เห็นมารดาก็จะฆ่าเอานิ้วมือถ่ายเดียว พระพุทธองค์ทรงมีพระมหากรุณา ไม่ประสงค์จะให้องคุลิมาลถลำทำบาปกรรมถึงขั้น “มาตุฆาต” อันเป็นกรรมหนัก
จึงรีบเสด็จไปดักหน้า ก่อนที่สองคนแม่ลูกจะพบกัน ทรงแสดงธรรมโปรดองคุลิมาลให้กลับใจมาบวชในพระพุทธศาสนา 

เอกสารอ้างอิง 

กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม . ๒๕๕๘ . ประวัติอุบาสก อุบสิกา(ออนไลน์).แหล่งที่มา : http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=16.๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๘